วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

อาหารทุกมื้อสำคัญกับการนอน

         การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย เพราะช่วยเพิ่มและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สมบูรณ์แข็งแรง ขณะที่ผลเสียของการนอนไม่เพียงพอคือทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อมสภาพ น้ำหนักตัวเพิ่ม ไม่สดชื่น อ่อนล้าและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ซึ่งหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำให้คุณนอนหลับได้ดีก็คือ อาหารทุกมื้อที่คุณรับประทานเข้าไปนั่นเอง
               อาหารเช้า การวางแผนรับประทานอาหารเพื่อการนอนหลับที่ดีนั้นไม่ได้เริ่มที่มื้อก่อนนอน หรือมื้อเย็นเพียงมื้อเดียว แต่ต้องเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่มื้อแรกหรืออาหารเช้ากันเลย เพราะอาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว พร้อมลุย เนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ เราจึงควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีน เนื้อสัตว์ ไข่ ข้าว แป้ง รวมทั้งอาหารที่มีไขมันในมื้อเช้ามากกว่ามื้ออื่นๆ ที่สำคัญนอกจากจะรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าและสมองมีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลงแล้ว การไม่ได้รับประทานอาหารเช้าจะทำให้เรารู้สึกหิวมากในมื้อต่อไป และมักจะกินอะไรที่อยู่ตรงหน้า โดยขาดความยับยั้ง
               อาหารว่างเช้า สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือไม่เคยชินกับการรับประทานอาหารเช้าในปริมาณมาก ควรมีอาหารว่างระหว่างมื้อเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย เช่น แซนด์วิช ขนมปัง ซาลาเปา ขนมจีบ หรือผลไม้ต่างๆ ยกเว้นผลไม้ดอง
               อาหารกลางวัน พลังงานของอาหารมื้อนี้ควรน้อยกว่าอาหารมื้อเช้า โดยอาจจะเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงจากข้าวหรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก ขนมปังโฮลวีท และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน รวมถึงควรมีผัก และผลไม้เป็นประจำ หรืออาจจะกินขนมสลับบ้างก็ได้ แต่ควรเน้นขนมที่ทำจากถั่ว เช่น ถั่วเขียวต้ม ถั่วแปบ เต้าส่วน เพราะมีแมกนีเซียมสูง ส่วนครื่องดื่มควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม
               อาหารว่างบ่าย เป็นมื้อที่มีความสำคัญต่อสุขภาพการนอนที่ดี ดังนั้นตั้งแต่มื้อนี้เป็นต้นไปเราไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง แต่ถ้ารู้สึกง่วงให้ดื่มชาเขียวอ่อนๆ แทน หรือจะรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ถั่วต่างๆ ก็ได้ รวมถึงควรเลือกดื่มนมวัวพร่องไขมัน นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต ซึ่งนอกจากจะทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีแคลเซียมสูง ป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งเป็นปัญหารบกวนการนอนในเวลากลางคืน
               อาหารเย็น เป็นมื้อที่ใกล้เวลานอนที่สุด มีข้อแนะนำที่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงเพื่อช่วยให้หลับอย่างสบายดังนี้
               กินอาหารเย็นตรงเวลา เพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน และควรกินก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนักในเวลานอนแล้ว ยังช่วยป้องกันและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน ซึ่งจะมีผลต่อคุณภาพของการนอนเป็นอย่างมาก
               ลดไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูง อาหารทีมีฤทธิ์เป็นธาตุร้อน เช่น อาหารทอด อาหารมัน แกงกะทิ ขนมที่มีครีมเข้มข้น อาหารเผ็ดจัด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารดิบ น้ำอัดลม เพราะอาหารเหล่านี้จะย่อยยาก ร่างกายต้องใช้เวลาในการเผาผลาญนาน ทำให้ร่างกายตื่นตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนไม่หลับ ด้วยเหตุนี้มื้อเย็นจึงควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ซึ่งการปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ตุ๋น อย่างเช่น ซุป หรือ แกงจืด จะย่อยง่ายกว่าแกงกะทิ ผัดผัก ดังนั้นจึงควรเลือกปลานึ่ง ไข่ตุ๋น แทนปลาทอด หรือไข่เจียว รวมถึงเลือกเนื้อสัตว์ชนิดที่ไม่มีหนังและมัน สำหรับมื้อเย็น
                จำกัดปริมาณผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งมักจะมีฤทธิ์ร้อน ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญมาก ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน ถ้าชอบรับประทานผลไม้เหล่านี้ก็ควรเลื่อนไปเป็นมื้อเช้า หรือมื้อกลางวันแทน นอกจากนี้ยังไม่ควรรับประทานผลไม้แทนอาหารเย็น รวมถึงไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลไม้ครั้งละมากๆ เพราะสารอาหารหลักของผลไม้คือคาร์โบไฮเดรทหรือน้ำตาล แต่ควรเลือกรับประทานผลไม้แทนขนมหวานที่มีส่วนผสมของกะทิ
                 เคี้ยวอาหารให้ละเอียด มื้อเย็นเป็นมื้อที่มีเวลาในการรับประทานมากกว่ามื้ออื่น จึงถือเป็นช่วงจังหวะที่เราควรเคี้ยวอาหารหลายๆ ครั้ง ซึ่งจะเกิดผลดีต่อร่างกายคือ ทำให้อิ่มง่าย ไม่รบกวนการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมของกระเพาะอาหารและลำไส้
                 กินข้าว แป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องงอก หรือโรยข้าวด้วยจมูกข้าวเป็นประจำทุกมื้อเย็น จะทำให้ร่างกายเก็บสะสมทริปโตเฟน (Tryptophan) และกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง ที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้นอนหลับได้ดี แต่ต้องรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ
                 เมนูปลา ถ้าร่างกายมีภาวะเครียดสูงทำให้นอนหลับยาก ดังนั้นลองเลือกเมนูจากปลาทะเลซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 หรือน้ำมันปลา และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่ต่อต้านความเครียด เช่น ข้าวต้มปลา ปลาผัดคี่นไช่ ปลาย่างซีอิ้ว ปลานึ่ง สเต็กปลา เป็นเมนูประจำสำหรับมื้อเย็น
                  ลดโซเดียม เกลือหรือโซเดียมทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ส่งผลให้ร่างกายกระสับกระส่ายนอนหลับยากขึ้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทีมีโซเดียมสูง เช่น ผลไม้ดอง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่งทอดกรอบ รวมถึงการปรุงอาหารเค็มจัดและใส่ผงชูรสปริมาณมากด้วย


      นอกจากความสำคัญของอาหารทุกมื้อแล้ว ยังมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ที่อาจจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้นดังนี้
                  ผลไม้ที่ช่วยให้หลับสบาย ได้แก่ กล้วย อินทผลัม ลูกพรุน ซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโตเฟน โดยสมองจะนำทริปโตเฟนไปสร้างสารเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งถ้าร่างกายมีสารตัวนี้เพียงพอ ก็จะเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งช่วยในการควบคุมการนอนหลับ ให้มีมากขึ้น ร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด อารมณ์ดี นอนหลับสนิทตลอดคืน โดยนอกจากในผลไม้แล้ว ทริปโตเฟนยังพบมากในนม เผือก มัน สาหร่ายทะเล และงา
                  เพิ่มวิตามิน B6 B12 เพราะวิตามินบี 6 มีความสำคัญในการสังเคราะห์เซโรโทนิน ขณะที่วิตามินบี 12 จะช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ซึ่งเมนูที่มีวิตามิน 2 ตัวนี้สูงก็คือ ข้าวโอ๊ตใส่นมสดและกล้วยหอม ซุปไก่มันฝรั่ง และตับบด                  

                 เครื่องดื่มและน้ำ ควรดื่มวันละ 6-8 แก้ว แต่อย่าดื่มมากก่อนเข้านอน เพราะอาจจะต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ทำให้นอนต่อไม่ได้ ส่วนเครื่องดื่มที่ช่วยให้หลับสบาย ได้แก่ น้ำเก๊กฮวย ชาคาโมมายด์ น้ำมะตูมอุ่นๆ น้ำข้าวต้ม น้ำงาดำโดยผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย น้ำผึ้งซึ่งเป็นยาคลายเครียดอย่างอ่อนๆ จากธรรมชาติ

                  ที่มา : http://t3.gstatic.comwww.vcharkarn.com/varticle/43508   

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

วิธีทําให้ผิวขาว 12 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง

      ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก
      แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ
        อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู  12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 

            1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           
 2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           
 4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           
 5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           
 6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           
 7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           
 9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           
 10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           
 11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           
 12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม 


           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

       ที่มา : http://women.kapook.com/view742.html

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

11 เคล็ดลับหน้าใส


          ยุคนี้สมัยนี้เทรนด์หน้าใสกำลังมาแรงไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรืออายุจะล่วงเลยวัยกระเตาะมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ใครบ้างล่ะอยากแก่แถมใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเหยี่ยวย่น หากไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัยและคงความหน้าใสให้ยาวนานที่สุดวันนี้เรามี 11 เคล็ดลับวิชาหน้าใสมาฝากกันดังนี้
          1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มากนัก ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานอย่างไม่หยุดพัก ถึงใจยังสู้แต่สังขารอาจไม่ไหว นอนแต่หัวค่ำดีกว่า
          2. ดื่มน้ำมากๆให้ได้วันละ 6 8 แก้ว หรือหากคุณดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ยิ่งจะดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและกัดกระเพาะจนคุณปวดท้องได้
          3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆแค่พูดว่า อา อี เอ โอ อู ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้า หน้าจะได้ไม่เเหยี่ยวย่น
          4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุค่ะ ถ้าใครเถียงหละก็… ขอท้าให้คุณสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆดูว่าคุณกับเพื่อนใครแก่กว่ากัน
          5. อย่าตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัว หากต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน
          6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียวหนาวจัดตลอดปีตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับอุณหภูมิบ้างเถอะค่ะ
          7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิว เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูเครียดและแก่ได้โดยเฉพาะบรรดาผิวโลกดวงจันทร์ทั้งหลาย
          8. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม
          9. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน จำไว้ว่างทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงานหรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆมาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นได้
        10. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย ให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิวให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้
        11. หากมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน

1 กีฬา เพื่อ สุขภาพ (ฟุตซอล)

                                  ประวัติและกติกากีฬาฟุตซอล





           ประวัติความเป็นมา 
      เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ประเทศในทวีปต่างๆทั่วโลก จะประสบกับปัญหาหิมะตกและสภาพอากาศที่แย่มากทำให้ไม่สามารถจัดการแข่งขันกีฬา กลางแจ้งต่าง ๆ ได้ รวมทั้งกีฬาฟุตบอล จึงถือเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขัน แต่เนื่องจากฤดูหนาวมีระยะเวลาที่ยาวนานและสภาพอากาศกลางแจ้งไม่เอื้อ อำนวยต่อการเล่นกีฬาฟุตบอล จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนหันมาเล่นกีฬาในร่มแทน และนี่คือที่มาของฟุตบอลในร่มหรือที่เรียกว่า “ฟุตซอล” (FUTSAL)

     FUTSAL มาจากภาษาสเปน หรือโปรตุเกส ที่เรียกฟุตบอลว่า “FUTbol” หรือ “FUTTebol”

ตามด้วยภาษาฝรั่งเศสและสเปน คือ “SALa” หรือ “SALon” ที่แปลว่า อินดอร์ หรือในร่ม เมื่อรวมกันจึงเป็นคำว่า “FUTSAL” หมายถึง การเตะบอลในสนามขนาดเล็กในร่ม กลายเป็นคำที่เรียกขานกันแทนคำว่า “FIVE – A – Side” หรือฟุตบอล 5 คนในปัจจุบัน

     ฟุตซอลมีการแข่งขันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ณ กรุงมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย เป็นเกมที่ชาวอเมริกาใต้นิยมเล่นกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นชาติที่มีทักษะความสามารถเฉพาะตัวในการเล่นฟุตบอลสูงสุดในโลก ด้วยลีลาอันเร้าใจจากนักเตะชื่อก้องโลกอย่างเปเล่,โซคราเตส หรือซิโก้ ซึ่งต่างเคยเข้าแข่งขันฟุตซอลมาแล้วทั้งสิ้น

    ประเทศไทยได้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอล 5 คนขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540 ค้วยความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่ายที่ช่วยผลักดันให้กีฬาชนิดนี้ ให้ได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร การกีฬาแห่งประเทศไทยและเดอะมอลล์กรุ๊ปจนในปัจจุบันฟุตบอล 5 คนหรือฟุตซอล (FUTSAL) เป็นกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมและน่าสนใจจากทุกเพศทุกวัยเนื่องจากเป็นเกมกีฬาที่ตื่นเต้น สนุกสนานในทุก ๆ นาทีของการแข่งขัน และสามรถเล่นได้ตลอดปีทุกสภาพอากาศ ทำให้ฟุตบอล 5 คน หรือฟุตซอล (FUTSAL) กลายเป็นกีฬายอดนิยมอย่างรวด เร็ว

         กติกาที่ควรทราบ
       1. ขนาดสนาม (Dimensions)
สนามแข่งขันต้องเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าความยาวด้านข้างต้องยาวกว่าความยาวของเส้นประตู
         ความยาว ต่ำสุด 25 เมตร   สูงสุด 42 เมตร
         ความกว้าง ต่ำสุด 15 เมตร   สูงสุด 25 เมตร
       2. การแข่งขันระหว่างชาติ (International Matches)
ความยาว ต่ำสุด 38 เมตร
สูงสุด 42 เมตร
ความกว้าง ต่ำสุด 18 เมตร
สูงสุด 22 เมตร
      3. การทำเครื่องหมายบนสนาม (Pitch Markings)

 ประกอบด้วย
           1. เขตโทษ (The Penalty Area) เขตโทษถูกทำไว้ตรงส่วนหัวท้ายของสนามแต่ละด้านดังนี้
      ให้วัดจากด้านนอกเสาประตูทั้งสองข้างไปตามประตูข้างละ 6 เมตร เขียนส่วนโค้งซึ่งมีรัศมี 6 เมตรเข้าไปในพื้นที่สนามจนปลายของส่วนโค้ง สัมผัสกับเส้นขนาน ที่ตั้งฉากกับเส้นประตูอยู่ระหว่างเสาทั้งสองข้าง มีความยาว 3.16 เมตรพื้นที่ภายในเขตเส้นเหล่านี้เรียกว่า “เขตโทษ”
          2. จุดโทษ (Penalty Mark) จากจุดกึ่งกลางประตูแต่ละข้าง ให้วัดเป็นแนวตั้งฉากเข้าไปในสนามแข่งขันเป็นระยะทาง 6 เมตร และให้ทำจุด แสดงไว้ จุดนี้เรียกว่า “จุดโทษ”
         3. จุดโทษที่สอง (Second Penalty Mark) จากจุดกึ่งกลางประตูทั้งสองข้างให้วัดเป็นแนวตั้งฉากเข้าไปในสนามแข่งขันเป็นระยะทาง 10 เมตร และให้ทำจุดแสดงไว้ จุดนี้เรียกว่า “จุดโทษที่สอง”
     4. เขตมุม (The Corner Area) จากมุมสนามแต่ละด้านให้เขียน 1 ใน 4 ของส่วนโค้งไว้ด้านในสนามแข่งขัน โดยมีรัศมี 25 เซนติเมตร
     5. เขตเปลี่ยนตัว (Substitution Zone) ตั้งอยู่บนเส้นข้างสนามแข่งขันด้านที่จัดที่นั่งผู้เล่นสำรองไว้ ผู้เล่นจะเปลี่ยนเข้าและออกต้องอยู่ภายในเขต เปลี่ยน มีความยาว 5 เมตร
     6. ประตู (Goals) ประตูตั้งอยู่บนกึ่งกลางของเส้นประตูแต่ละด้าน ประกอบด้วยเสาประตูสองเสา มีระยะห่างกัน 3 เมตร และเชื่อมกันด้วยคานตามแนวนอน ซึ่งส่วนล่างของคานจะอยู่ห่างจากพื้น 2 เมตร
     7. พื้นผิวของสนามแข่งขัน (Surface of the Pitch) พื้นผิวต้องเรียบไม่ขรุขระ พื้นสนามอาจทำด้วยไม้หรือวัสดุสังเคราะห์และต้องหลีกเลี่ยงพื้นผิวสนามที่ทำด้วยคอนกรีตและยางมะตอย
     8. ลูกบอล (The Ball) เป็นทรงกลม ขนาดเส้นรอบวงยาวไม่น้อยกว่า 62 เซนติเมตร และไม่เกินกว่า 64 เซนติเมตร
     9. จำนวนผู้เล่น (Players) ในการแข่งขันจะมีผู้เล่นสองทีม แต่ละทีมต้องมีผู้เล่นในสนามไม่เกิน 5 คน และต้องมีผู้เล่นคนหนึ่งเป็นผู้รักษาประตู อนุญาตให้มีผู้เล่นสำรองไม่เกิน 7 คน ในการเปลี่ยนตัวผู้เล่นในขณะทำการแข่งขันสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้ตัดสินทราบ แต่ผู้เล่นต้องเปลี่ยนตัวในเขตเปลี่ยนตัวเท่านั้นและต้องให้ผู้เล่นในสนามออกจากสนามอย่างสมบูรณ์ก่อนจึงจะเข้าสนามเพื่อทำการแข่งขันได้ ถ้าเปลี่ยนไม่สมบูรณ์ผู้เล่นที่เข้าสนามไปก่อนจะถูกคาดโทษด้วยใบเหลือง ในการแข่งขันเริ่มเล่นต้องมีผู้เล่นอยู่ในสนามข้างละ 5 คน ในขณะทำการแข่งขันถ้าผู้เล่นเหลือน้อยกว่า3 คน การแข่งขันต้องถูกยกเลิก
     10 . ผู้ตัดสิน (The Referee) การแข่งขันแต่ละครั้งจะถูกควบคุมโดยผู้ตัดสิน 2 คน
     11. ระยะเวลาของการแข่งขัน (The Duration of The Match) การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ครึ่งๆ ละ 20 นาทีเท่ากันการพักครึ่งเวลาต้อง ไม่เกิน 15 นาที ทั้งสองทีมมีสิทธิ์ขอเวลานอก เป็นระยะเวลา 1 นาทีได้ในแต่ละครึ่ง
     12. การเตะโทษ (Free Kick) มีอยู่มีประเภท 2 ประเภทคือ โทษโดยตรง(The Direct Free Kick) ถ้าเตะโทษโดยตรงเข้าประตูของฝ่าย ตรงข้ามจะถือเป็นประตู โทษโดยอ้อม (The Indirect Free Kick) จะเป็นประตูก็ต่อเมื่อลูกบอลได้สัมผัสโดยผู้เล่นอื่นๆก่อนเข้าประตู ผู้เล่นจะต้อง เตะโทษให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 4 วินาที โดยฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างอย่างน้อย 5 เมตร
     13. การทำผิดกติการวม (Accumulated Fouls) จะลงโทษโดยตรงโดยจะยิงประตูที่จุดโทษที่สองผู้รักษาประตูอยู่ห่างจากลูกบอลไม่น้อยกว่า 5 เมตร การนับการทำผิดกติการวมจะนับการทำผิดกติการวมกันทั้งทีมเมื่อทำผิดกติกาครบ 5 ครั้งก็จะประตูที่จุดโทษที่สองและจะยิงประตูไปเรื่อยๆเมื่อทีมทำผิดกติกา จนหมดเวลาของการแข่งขันแต่ละครึ่ง
     14. การเตะเข้าเล่น (Kick In) การเตะเข้าเล่นต้องเตะตรงบริเวณที่ลูกออกจากสนาม โดยผู้เล่นนำลูกบอลมาวางไว้บนส้นตรงบริเวณที่ลูกบอลออก ลูกบอลต้องนิ่งต้องส่งด้วยเท้าในเวลา 4 วินาทีผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องอยู่ห่าง 5 เมตร
     15. ผู้รักษาประตูจะต้องเล่นด้วยมือเมื่อลูกออกสนามด้านหลังและต้องเล่นภายใน 4 วินาที



        ที่มา : http://nukfootball-chat.blogspot.com/2009/06/blog-post_9452.html

เคล็ดลับสู่การมีสุขภาพดี จาก แอปเปิ้ล

เคล็ดลับสู่การมีสุขภาพดี 
จุดประกายของเรื่องนี้เกิดจากการที่ผู้เขียนได้รับเอกสาร ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เสริมสุขภาพต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายในประเทศเราขณะนี้ ทั้งในรูปแบบแผ่นพับประชาสัมพันธ์ โฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ นิตยสารและผู้แทนจำหน่ายตรง เมื่อได้อ่านสรรพคุณต่างๆก็รู้สึกเคลิบเคลิมคล้อยตาม ในความวิเศษมหัศจรรย์ในสรรพคุณของอาหารเสริมต่างๆเหล่านั้น เนื่องจากเป็นคนที่มีสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไร ระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบใดเพื่อให้เหมาะกับสุขภาพที่อยากให้เป็น (เป็นคนที่ผอมมากน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ และมีผิวที่แห้งมาก)อย่างเรานั้นเอง ก็เป็นช่วงที่มีกระแสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง (ดูจากรายการ IDOL ทางช่อง 9) ในเทปแรกซึ่งเป็นการเชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล มาในรายการพูดถึงบุคคล ต้นแบบของท่านซึ่งก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง พูดถึงแบบอย่างที่ดีงามซึ่งแยกแยะจัดหมวดหมู่ได้ 10 ประการในการนำมาประพฤติปฏิบัติได้ ส่วนเนื้อหาในรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นให้ลองเปิดดูในหัวข้อคุณธรรมและจริยธรรมของโฮมเพจศูนย์ฯนะค่ะ เป็นอันว่าจากการดูรายการนี้เองจึงเกิด การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างสำหรับตัวผู้เขียน และหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงก็คือการหันมาสนใจสุขภาพในราคาประหยัดแนวพอเพียงและเพียงพอ ก็รู้ๆกันอยู่ว่า สินค้าเหล่านี้มีราคาสูง บางอย่างก็กล่องละเป็นพัน ทานได้แต่ 30 วันโอ้โอ…เสียเดือนละเป็นพัน สวยแค่เดี๋ยวเดียวเอง ทำงานได้เดือนละเท่าไรกันนี่ มาลองวิธีนี้ดีกว่า. .เห็นผลมาแล้วนะเพราะลองมากับตัวเองเลยค่ะ
กวดวิชา สอนพิเศษ เรียนพิเศษ ติวพิเศษ สอนที่บ้าน สอนตามบ้าน ติวที่บ้าน ติวตามบ้าน เรียนที่บ้าน เรียนหนังสือ เรียนพิเศษที่บ้าน

           ลองดูในสูตรของพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูว่าเขามีส่วนผสมอะไรบ้างที่มีคุณ ประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราก็ซื้อมารับประทานเสียเลย เพราะของสดย่อม ดีกว่า ของที่ผ่านกรรมวิธีอยู่แล้วซึ่งอาจเป็นสารเคมี หรือมีส่วนผสมของสารเคมี แต่สำหรับผู้เขียนเองเป็นคนทานยาก ผักก็ไม่ค่อยทาน ทานได้เป็นบางอย่าง ผลไม้ก็เลือกทานอีก ดังนั้นจึงเลือกเฉพาะที่สามารถทานได้ ชนิดแรกเลยที่เลือกก็คือแอปเปิล สูตรสำหรับผู้เขียนเองคือ นำผลแอปเปิล 1 ผล และสาลี่ ครึ่งผล ใส่ลงในเครื่องคั้นแยกกาก ก็จะได้ประมาณ 1 ถ้วย (ประมาณ 300 มิลลิลิตร) บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นแครอทบ้างสลับไปตามโอกาสที่จะหาได้ ทานตอนช่วงเช้า (ก็บอกแล้วว่าเป็นคนทานยากจะทาน ทั้งลูกก็ไม่ชอบ) ใครสามารถทานทั้งลูกได้ก็ทานเลย ใครไม่มีเครื่องคั้นแยกกากจะใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ก็ตามสะดวกไม่ต้องสิ้น เปลืองไปหาให้เสียทรัพย์เพิ่มหรอกนะค่ะ
ผลที่ได้หลังจากที่รับทานอย่างนี้อาทิตย์ละประมาณ 3 – 4 วันมาจนบัดนี้ก็คือ ผิวจากที่เคยแห้งจนเป็นขุยขาวๆทั้งตามแขนขาและที่หน้าจนแทบไม่อยากแต่งหน้าเลยเพราะ มันน่าเกลียดมากเหมือนงูลอกคราบอย่างไรอย่างนั้น ก็หายไปเป็นปกติดี เวลาถ่ายก็ปกติทุกวันตามเวลาจากที่ถ่ายยาก 2-3 วันถ่ายครั้ง และก็ไม่เป็นหวัดง่ายเหมือนก่อน คราวนี้ลองมาดูถึงสรรพคุณตามตำราของแอปเปิลกันบ้างนะค่ะ แอปเปิล ผลขนาดกลาง 1 ผลล้างให้สะอาดโดยไม่ปอกเปลือก มีคุณค่าทางโภชนาการโดยประมาณดังนี้
         - พลังงาน 80 แคลอรี - วิตามิน บี 6 0.1 กรัม
         - วิตามิน ซี 7.9 มิลลิกรัม - เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม
         - ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม - โพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญจะลดลง นอกจากนี้ยังมีสารสำคัญ
บางตัว เช่น เบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ชื่อว่า เพคติน และ
ยังมีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวก
โปรตีนและไขมัน
            ปัจจุบันมีการกล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ฆ่าเชื้อไวรัส เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาตกเกาต์ ดีซ่าน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการช่วยขับพิษอ่อนๆในร่างกาย (สูตรล้างพิษง่ายๆ คือ นำแอปเปิลมาปั่นรวมกับแครอท ในอัตราส่วน 1 ต่อ 4) ช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคเลือดออกตามไรฟัน แอปเปิลช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นจึงช่วยได้ทั้งอาการท้องผูกและท้องเสีย ผู้ที่มีอาการท้องผูก แอปเปิลช่วยระบายได้ ส่วนผู้ที่มีอาการท้องเสีย นิดหน่อยรับประทานแอปเปิลสับละเอียดติดต่อกัน2 วัน อาการท้องเสียจะค่อยๆหายไป หากรับประทานแอปเปิลมื้อละ 1 ผลเป็นประจำจะช่วยขับเกลือที่มีมากเกินไป ออกจากร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตค่อยๆลดลงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

กวดวิชา สอนพิเศษ เรียนพิเศษ ติวพิเศษ สอนที่บ้าน สอนตามบ้าน ติวที่บ้าน ติวตามบ้าน เรียนที่บ้าน เรียนหนังสือ เรียนพิเศษที่บ้าน

            ตำราแพทย์แผนโบราณได้กล่าวถึงสรรพคุณของแอปเปิลไว้ได้แก่ ใบ ใช้ต้มกินรักษาเลือดคั่งค้างหลังคลอด รักษาอาการไข้ ขับน้ำคาวปลา รักษาแผลจากไฟ ผล รักษาอาการท้องผูกเป็นประจำ นอนไม่ค่อยหลับ โรคเกี่ยวกับไต บำรุงร่างกายทารก บำรุงปอดสรรพคุณต่างๆเหล่านี้เกิดจากการที่ลองแล้วดีจึงอยากรู้ว่าที่ดีนั้นดีอย่าง ไรมีอะไรในสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปแล้วดีต่อสุขภาพบ้างจึงค้นคว้าหาคำตอบ ของคุณประโยชน์แอปเปิลอย่างที่ได้เขียนมาข้างต้น แต่ก็อย่ามองข้ามความปลอดภัยด้วยนะค่ะ เช่นเรื่องทางสายกลาง ทำอะไรก็ให้อยู่ในความพอดีไม่มากเกินไม่น้อยไปรับประทานอย่างอื่นด้วย เช่นกล้วยซึ่งได้เขียนถึงประโยชน์อันมากมายไว้ในสาระน่ารู้ในครั้งก่อนหน้านี้ หรือผลไม้อื่นๆ ซึ่งถ้ามีโอกาสจะได้ค้นคว้ามาแจ้งให้ทราบกันอีกในครั้งหน้านะค่ะ แต่จะยังคงยึดนโยบายของดีแต่ถูกไว้เป็นเบื้องต้น ของดีแต่ถูกที่อยากแนะนำอีกอย่างคือ เครื่องดื่ม ท่านมหาตมา คานธีได้กล่าวไว้ในหนังสือกุญแจสู่สุขภาพว่า “ ชา กาแฟ และโกโก้ ไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลยต่อร่างกาย เครื่องดื่มที่ทดแทนน้ำชา กาแฟ ได้แก่ น้ำร้อนใส่น้ำผึ้งบีบมะนาว ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมาก ”
         ที่มา : http://www.tutorgohome.com

จำนวนผู้เข้าชม